ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ Blockchain (บล็อกเชน) ทำให้โลกเริ่มตั้งคำถามว่า มันจะมีอิทธิพลที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนไปมากน้อยเพียงไหน เกมนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจ หรือเกมจะพลิกไปถึงจุดที่มนุษยชาติคาดไม่ถึง บทความนี้ได้รวบรวมหลากหลายมุมมองไว้ให้คุณแล้ว
Artificial Intelligence หรือ AI (ปัญญาประดิษฐ์) Blockchain (บล็อกเชน) และ Cryptocurrency (สกุลเงินดิจิทัล) คำสามคำที่จำเป็นต้องกล่าวถึงในการสนทนา หากคุณต้องการดูเหมือนผู้รอบรู้ด้านเทคโนโลยี
ไม่นานมานี้ Rory Cellan-Jones นักเขียนสายเทคโนโลยีจาก Tech Tent บนหน้าเว็บไซต์ของ
BBC News ได้เขียนเล่าถึงการประเมินแนวโน้มในอนาคตและสอบถามกับผู้ทำนายอนาคต ว่าเรื่องใดจะมีความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษถัดไป และต่อไปนี้คือคำตอบที่ได้รับ
DeepMind (ดีพมายด์) ชนะหมากล้อมได้โดยไม่ต้องใช้ข้อมูลการเล่นของมนุษย์
เราได้เห็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกขั้นหนึ่งจาก DeepMind (ดีพมายด์) ของกูเกิล เมื่อมันสามารถแสดงให้เห็นว่าโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) สามารถเรียนรู้การเล่นหมากล้อมได้ภายในสามวัน โดยไม่ต้องศึกษาจากมนุษย์เลยว่าจะเล่นเกมที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างไร
AlphaGo Zero ใช้โปรแกรมเวอร์ชันก่อนหน้านี้เป็นฐาน แล้วพัฒนาต่อยอดด้วยความเชี่ยวชาญแบบมนุษย์ และเอาชนะโปรแกรมเวอร์ชันก่อนหน้าไปได้ 100 ต่อ 0 เกม
บริษัทหวังที่จะใช้เทคนิคนี้ในเรื่องอื่น เช่น การพัฒนายา สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นอีกก้าวหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ ที่สามารถเรียนรู้การทำงานทั่วไป หรือ Generalized Artificial Intelligence ได้ ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบต่าง ๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้เพียงฟังก์ชันเดียวเท่านั้น
ปฏิกิริยาต่อข่าวนี้มีตั้งแต่ความหวาดกลัวว่า “เป็นอีกก้าวหนึ่งที่จะนำไปสู่ภาวะที่เป็นหนึ่งเดียว (Singularity)" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่าปัญญาประดิษฐ์ จะเอาชนะมนุษย์ในท้ายที่สุด ไปจนถึงการเยาะเย้ยถากถาง รวมทั้งหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า เมื่อ AI เริ่มครีเอทภาษาของตัวเองได้ โลกต้องเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง โดยมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่แนะนำว่าการที่ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในหมากล้อมได้ในครั้งที่สองนี้ แทบจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลกแต่อย่างใด
ดร. David Silver ผู้อยู่เบื้องหลังโครงการ AlphaGo ยอมรับว่า มีการกล่าวเกินจริงเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ แต่เขายืนยันว่าอย่างไรเสียก็ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ “มันมีเหตุผลที่จะรู้สึกตื่นเต้นว่าระบบเหล่านี้สามารถที่จะค้นพบองค์ความรู้ได้ด้วยตัวของมันเองอย่างแท้จริง”
เขายังคลางแคลงใจเกี่ยวกับความเร็วของการประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติที่จะได้รับการค้นพบ อย่างไรก็ตาม เขายังหวังว่าผลงานจากทีมของเขาจะสร้างผลกระทบต่อบางปัญหาใหญ่ที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ได้อย่างแท้จริง
Blockchain (บล็อกเชน) และต้นไม้เงินที่แฝงไปด้วยเวทมนต์
ที่งานสัมมนาแห่งหนึ่งใน London Docklands ทาง Tech Tent บอกว่า ได้พบกับกลุ่มผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าในการลงทุนรูปแบบใหม่ โดยที่ธุรกิจต่าง ๆ ได้สร้างสกุลเงินดิจิทัลของตัวเองและใช้สกุลเงินดังกล่าวในการสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เรียกว่า บล็อกเชน
พร้อมกับเดินสอบถามผู้คนในงานสัมมนานั้น เพื่อรับคำอธิบายเกี่ยวกับ Blockchain (บล็อกเชน) ให้กระจ่างแจ้ง และเพื่ออธิบายว่าทำไมมันจึงน่าสนใจ
หลายคนพบว่ามันยากที่จะสรุปเป็นประโยคเดียว
"Blockchain (บล็อกเชน) คือความเป็นไปได้สำหรับธุรกิจที่จะเลือกใช้เม็ดเงินอย่างชาญฉลาดตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่" ผู้หนึ่งกล่าว
"บล็อกเชนทำหน้าที่เป็น Digital Ledger (บัญชีแยกประเภทดิจิทัล) โดยเก็บข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรมในบล็อกต่าง ๆ โดยที่แต่ละบล็อกจะถูกอ้างอิงกับบล็อกล่าสุด” อีกคนหนึ่งกล่าว
แน่นอน ความสำคัญของ Blockchain (บล็อกเชน) นั้นมีความชัดเจน ดังนี้
"มันคือเทคโนโลยีแห่งอนาคต" ชายคนหนึ่งกล่าวว่า “หากใครคนหนึ่งถามคุณว่า ‘คุณต้องการลงทุนในอินเทอร์เน็ตก่อนที่อินเทอร์เน็ตจะถือกำเนิดขึ้นมาหรือไม่?' คุณจะตอบว่าอย่างไร?"
และจากความเชื่อดังกล่าว เราพบว่าหลายบริษัทระดมเงินทุนจากการเสนอขายเหรียญในระยะเริ่มต้น หรือที่เรียกกันว่า Initial Coin Offering หรือ ICO สำหรับโครงการที่ใช้ Blockchain (บล็อกเชน) อยู่เบื้องหลัง อาทิ Robomed จากมอสโกตั้งเป้าที่จะอำนวยความสะดวกในการให้บริการการสาธารณสุขภาคเอกชนนั้น มีแผนที่จะระดมเงินทุน 150 ล้านดอลลาร์จากการขายเหรียญสกุลเงินดิจิทัล
พวกเขาทำงานกันอย่างไร? ในเว็บไซต์ของ Robomed ให้คำอธิบายไว้ดังนี้
"Robomed Network จะออกขายเหรียญของตนเองเพื่อรองรับ Smart Contract (สัญญาอัจฉริยะ) ระหว่างผู้ให้บริการทางการแพทย์และผู้ป่วย RBM Smart Medical Contract (สัญญาทางการแพทย์อัจฉริยะ) นี้จะยกระดับคุณค่าในการให้บริการขึ้น โดยอนุญาตให้เจ้าของสัญญาได้รับการรักษาตามแนวทาง Clinical Guideline (เวชปฏิบัติ) ในการรักษาเฉพาะเรื่องโดยผู้ให้บริการทางการแพทย์ต่าง ๆ"
เราพยายามที่จะทำความเข้าใจในสิ่งนี้และแผนธุรกิจ ICO อื่น ๆ และบน Financial Times เราได้พบว่า Izabella Kaminska ได้แสดงความกังวลในความน่าสับสนนี้ว่า
เธอได้ติดตามการเงินรูปแบบใหม่นี้มาระยะเวลาหนึ่งและมันไม่จูงใจให้เธอลงทุน โดยกล่าวว่า "ทำไมเราต้องใช้การเสนอขายเหรียญในระยะเริ่มต้นของการระดมเงินทุน? หากคุณมีไอเดียที่ดี คุณก็สามารถที่จะระดมเงินได้แล้ว"
เธอยังตั้งคำถามว่า Blockchain (บล็อกเชน) ให้อะไรกันแน่ นอกเหนือไปจากสิ่งที่เธอเรียกว่า “Regulatory Arbitrage” (การหาประโยชน์จากข้อจำกัดทางกฎหมาย)
เธอกลัวว่าแรงผลักดันหลักในการใช้วิธีระดมเงินทุนแบบนี้คือ ความไม่ต้องผ่านการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะทางธุรกิจ และการยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนนั่นเอง
โลกในปี 2027
เมื่อย้อนกลับไปปี 2001 ในหนังสือ “The Future of Wireless Communications” (อนาคตของการสื่อสารแบบไร้สาย) ของ William Webb คาดไว้ว่าจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีดังที่ปรากฏข้างล่างภายในปี 2020 คือ
- อุปกรณ์สื่อสารส่วนบุคคลที่ทำให้คุณสามารถจองตั๋วเครื่องบินและเช็กอินที่สนามบินได้
- ฟีดข่าวส่วนบุคคลที่ถูกส่งมายังอุปกรณ์สื่อสารของคุณ
- หุ่นยนต์ที่ตัดหญ้าได้
- ฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ทำให้คุณสามารถสั่งจองกาแฟคาปูชิโนจากร้านกาแฟล่วงหน้า และนำทางคุณไปรับกาแฟถึงที่ตั้งของร้านได้
การทำนายเหล่านี้ดูแม่นยำทีเดียว และล่าสุด William Webb ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้นซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านโทรคมนาคม ก็ได้ตีพิมพ์หนังสือที่แสดงวิสัยทัศน์ของเขาเกี่ยวกับว่าโลกจะเป็นอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า
คำทำนายของเขาประกอบด้วย
- ผู้ช่วยเสมือนอย่าง Siri หรือ Alexa จะมีบทบาทที่สำคัญกว่านี้ในชีวิตประจำวันของพวกเรา
- AI (ปัญญาประดิษฐ์) จะทำงานบางอย่างได้ดีเยี่ยม
- ในสถานที่ทำงาน เทคโนโลยีรู้จักใบหน้าจะมาแทนที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และหุ่นยนต์ทำความสะอาดจะเข้ามาแทนที่งานที่เกี่ยวกับการทำความสะอาดทั้งหมด
- การขายปลีกเกือบทั้งหมดจะทำผ่านออนไลน์
แต่เขายังคลางแคลงใจเป็นอย่างมากกับการเปลี่ยนแปลงข้างต้น เขายังไม่เชื่อว่าพวกเราทุกคนจะมีบ้านอัจฉริยะ โดยกล่าวว่า "ประโยชน์ต่าง ๆ ของบ้านอัจฉริยะยังไม่ถึงกับดีเลิศ แต่ราคาค่อนข้างสูง" และเขาก็ไม่เชื่อว่ารถยนต์ไร้คนขับจะทำให้การจราจรติดขัดในเมืองต่าง ๆ หมดไปในอนาคตอันใกล้นี้
"มันเป็นวิสัยทัศน์ที่ดี" เขากล่าว "ฉันคิดว่าเราจะได้เห็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนได้เองอย่างจำกัดมาก โดยในอีก 10 ปีข้างหน้า เราอาจได้เห็นรถยนต์ดังกล่าวบนถนนมอเตอร์เวย์ แต่ก็ไม่คิดว่าเราจะได้พบกับสิ่งนั้นในใจกลางเมือง เนื่องจากการจราจรในเมืองนั้นซับซ้อนเกินไป"
และสำหรับ ปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถเรียนรู้การทำงานทั่วไปได้เพื่อที่จะทำงานหลายสิ่งหลายอย่างให้เสร็จสิ้น เขาคิดว่ายังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเป็นจริง
เราได้รับการบอกกล่าวว่าเทคโนโลยีกำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและอันตรายมาก แต่หาก William Webb ทำนายถูกต้อง มันอาจต้องใช้เวลาถึงทศวรรษหน้ากว่าเราจะได้สัมผัสมัน
ที่มาข้อมูล:
BBC News